ช่วงก่อนปีใหม่ ผมได้มีโอกาสคุยกับน้องคนหนึ่งซึ่งแลกเปลี่ยนกันเกี่ยวกับชีวิตของคนเราที่หลายๆ ครั้งก็มีโอกาสได้เจอกับคนดีๆ เข้ามาในชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งคนเหล่านี้จะกลายเป็นเหมือนกัลยาณมิตรที่แนะนำและพาเราไปสู่ความเจริญได้ แต่ก็อีกหลายครั้งเช่นกันที่หลายคนไม่ได้รู้ตัวและทำให้คนดีๆ เหล่านี้เดินออกไปจากชีวิต โดยจะว่าไปแล้ว ในชีวิตของเรานี้มีโอกาสเจอคนมากมายที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ (ลองอ่านบล็อกเรื่องคนประเภทต่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของเราดูก็ได้ครับ) แต่หลายๆ คนไม่สามารถรักษาพวกเขาเอาไว้ได้
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? นั่นเป็นสิ่งที่ผมนั่งตั้งคำถามเหมือนกัน เพราะเราก็มักได้ยินคำบ่นประเภท “ไม่เจอคนดีๆ เลย” “ไม่เห็นมีคนดีๆ” แต่ผมก็เห็นว่ามีคนดีๆ อยู่มากมายน่ะนะ (ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่ได้พูดถึงแค่กรณีของคนรักเท่านั้นนะครับ)
3 ข้อสังเกตต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลหลักๆ ที่มักเกิดขึ้น และถ้าเราอยากจะรักษาคนดีๆ ไว้ในชีวิต เราอาจจะต้องพิจารณาเหตุผลเหล่านี้กันใหม่เสียหน่อยล่ะครับ
ในหลายๆ ครั้ง เมื่อเกิดการโต้เถียงหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถ้าคุณเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นสำคัญโดยไม่สนใจเหตุผลอื่นๆ ประกอบแล้ว สิ่งที่ตามมาคือคนที่ให้คำแนะนำหรือคอยชี้แนะก็จะรู้สึกว่าคุณไม่ได้เห็นพวกเขา ซึ่งในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะถอยหรือปลีกตัวไป ไม่ยุ่งกับเรื่องราวของคุณอีกต่อไป
จะว่าไปแล้ว ผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็อาจจะเคยประสบเหตุการณ์ประเภทเตือนเพื่อนแล้วไม่ฟัง จนสุดท้ายก็ระอาหรือต้องปล่อยให้คนๆ นั้นต้องไปตามยถากรรม ซึ่งผมว่ามันก็คล้ายๆ กับเหตุผลข้อนี้นั่นแหละ
แต่พอบอกเช่นนี้แล้วก็ใช่จะหมายความว่าให้คุณเชื่อคนอื่นไปเสียหมดนะครับ อันที่จริงคุณก็ยังสามารถมีความเห็นของคุณเองได้อยู่ แต่ท่าทีของการ “รับฟัง” หรือ “รับไว้พิจารณา” เช่นเดียวกับการ “เคารพความเห็นคนอื่น” เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนที่หวังดีกับคุณรู้สึกว่าคุณให้ความสำคัญกับความปรารถนาดีของคุณ แม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้ปฏิบัติตามก็ยังดีเสียกว่าการปัดตกหรือปิดรับมันเลย และนั่นทำให้คนที่อยากจะแนะนำคุณถอยห่างออกไปนั่นแหละครับ
อาจารย์ผมเคยเตือนผมเรื่องหนึ่งว่าการสนิทหรือรักกันมากเกินไปก็มีอันตรายกับตัวเราเหมือนกัน เพราะมันทำให้หลายๆ ครั้งไม่มีใครเตือนเราเมื่อเราทำผิดหรือคอยชี้บอกว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่ถูกต้องอย่างไร หลายๆ ครั้งกลายเป็นว่าความสนิทหรือต้องการเอาใจทำให้เกิดการปลอบหรือเห็นดีเห็นงามไปด้วยโดยไม่ยึดกับสิ่งที่ถูกต้องหรือเหมาะสม
พอเป็นแบบนี้แล้ว มันเลยย้อนกลับมาว่าคนที่หวังดีหรือจะช่วยเปลี่ยนชีวิตคุณให้ดีขึ้นนั้นก็อาจจะไม่ได้อยู่ในโหมดที่จะเอาใจคุณเสมอไปแต่อย่างใด แถมหลายๆ ครั้งเขาอาจจะขัดความรู้สึกคุณเสียเลยก็ได้ ซึ่งพอเป็นแบบนั้นมันก็เลยง่ายที่คุณอาจจะรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจ ไม่เห็นใจ ประกอบกับมีคนอื่นๆ ที่พร้อมจะโอ๋คุณมากกว่า ซึ่งโมเมนต์ที่กำลังรู้สึกเสียใจก็จะทำให้คุณเขวและไม่ฟังสิ่งที่คนเหล่านี้พูดไปเสีย
ถ้าวันหลังมีใครที่ยกมือบอกคุณด้วยความเห็นที่ต่างออกไปโดยไม่ได้หวังเอาใจคุณ คุณอาจจะต้องลองฟังเขาเสียหน่อย แม้มันอาจจะไม่ได้ถูกหูคุณ แต่ลองมองเจตนาของเขาดีๆ คุณอาจจะพบว่าเขาหวังดีกับคุณมากกว่าหลายๆ คนอยู่เหมือนกัน
ข้อนี้อาจจะเป็นข้อต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว เพราะคำแนะนำที่จะเปลี่ยนคุณไปสู่สิ่งดีๆ ในหลายๆ ครั้งนั้นจะเป็นการทำให้คุณต้องเลิกกับสิ่งที่เป็นอยู่ และบางอย่างก็เป็นสิ่งที่คุณกำลังมีความสุขอยู่แล้ว รู้สึกโอเคอยู่แล้ว พอเป็นเช่นนี้ก็เลยทำให้คำแนะนำจำนวนไม่น้อยจากคนที่ปรารถนาดีกับคุณกลายเป็นความเห็นที่ขัดแย้งกับคุณไปโดยปริยาย
และสิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกต่อต้าน และมองว่าคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับคุณไปเสีย
เมื่อลองคิดดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นจาก 3 ข้อข้างต้น สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นว่าคนดีๆ ที่น่าจะเข้ามาช่วยทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นก็จะอยู่ในจุดที่ตรงข้ามหรือไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับคุณ สิ่งที่ตามมาคือความเหินห่าง ก่อนจะกลายเป็นว่าคนเหล่านี้ก็จะหลุดการติดต่อกับคุณไป ในบางกรณีก็อาจจะเกิดการโต้เถียงรุนแรงและทำให้ความสัมพันธ์จบลงด้วยก็มี
เรื่องราวเหล่านี้อาจจะเป็นเสี้ยวเล็กๆ ที่น่าคิดในเรื่องความสัมพันธ์ของเราอยู่เหมือนกัน ในทางพุทธศาสนานั้นการพบกับกัลยาณมิตรนั้นเป็นเรื่องที่ดีมากๆ (อาจจะเรียกว่าเป็นบุญวาสนาชีวิตเลยก็ว่าได้) แต่นอกเหนือจากการพบแล้ว สิ่งสำคัญที่เราอาจจะต้องคิดไปด้วยคือการรักษาเขาไว้ เพราะการเจอคนดีๆ หรือมิตรดีๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนั่นแหละครับ
บทความจาก : Nuttaputch Blog