สารพิษต่างๆ ที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน ทั้งจากการทานอาหาร (สารกันบูด สี สารปรุงแต่ง รส และกลิ่น ยาฆ่าแมลง เชื้อรา) การสูดดมและการซึมผ่านผิวหนังของสารพิษในสภาพแวดล้อม หรือแม้แต่สารพิษที่ร่างกายผลิตเอง จะถูกส่งไปยังตับเพื่อกำจัดสารพิษเหล่านั้น
แต่ถ้าหากตับทำงานไม่ทันสารพิษก็จะถูกปล่อยสู่กระแสเลือด เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ ได้
ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายต่อหลายคนหาวิธีการช่วยให้ตับทำงานดีขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือ การล้างพิษตับ
ล้างตับกันไหม?
จากสาเหตุข้างต้นทำให้เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ฮิตล้างตับ ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจะมีสูตรการล้างตับต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือ สูตรน้ำมันมะกอก น้ำมะนาว น้ำแอปเปิ้ล และดีเกลือ ที่เขาลือกันว่าล้างตับขับนิ่วดีนักแล คำถามคือ วิธีนี้ได้ผลจริงหรือ?...หากสังเกตกันสักนิดจะฉุกคิดได้ว่าส่วนผสมเหล่านี้ คล้ายกับส่วนผสมในการทำสบู่ และดีเกลือก็คือ แมกนีเซียมซัลเฟตที่ทางการแพทย์ใช้เป็นยาระบาย แต่ก็มีคนที่เคยทำมาแล้วแย้งว่า ‘ฉันเคยทำมาแล้ว มันได้ผลจริงเพราะเวลาถ่ายท้องมีก้อนเมือกสีเขียวออกมาด้วย’ แต่ถ้าตรองดูสักนิดว่าการที่เรากินน้ำมันมะกอกในปริมาณมากขนาดนั้น พร้อมกับดีเกลือที่ช่วยให้ถ่ายท้องทำให้เมื่อกินเข้าไปแล้วแทบจะถ่ายในทันที ดังนั้นน้ำมันที่ออกมาไม่ใช่สารพิษจากตับแน่นอน และเมือกสีเขียวก็อาจจะเกิดจากน้ำดีในร่างกายบวกกับน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำแอปเปิ้ลนั่นเอง
วิธีการล้างตับวิธีนี้เป็นเพียงการทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารมันดูดกลับไม่ทัน ร่วมกับการทานยาระบาย มันจึงเป็นเพียงการล้างลำไส้เท่านั้น พอเราทานอาหารมื้อถัดไปมันก็จะกลับมา โดยที่ตับก็ยังมีไขมันเหมือนเดิม ใครที่เป็นนิ่วในตับก็ยังมีเหมือนเดิม แถมบางคนล้างพิษตับด้วยวิธีนี้แล้วเกิดอาการแพ้ เช่น อาจเกิดผื่นแพ้ขึ้น เป็นลมพิษ หรือระบบขับถ่ายไม่ปกติ เป็นต้น
วิธีที่ถูกต้อง?
ในตอนนี้การล้างพิษตับมีเพียง การฟอกเลือดเท่านั้น แต่ในวิวัฒนาการทางการแพทย์แล้วการฟอกเลือดเพื่อล้างพิษตับนี้ก็ยังไม่ได้ผลดีนัก ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ การดูแลสุขภาพ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รับประทานอาหารที่ช่วยให้ตับล้างพิษได้ง่ายขึ้น ได้แก่
-ผัก เช่น กระเทียม หัวหอม ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี และผักใบเขียว ผักเหล่านี้จะช่วยทำให้สารพิษที่เจือปนมากับอาหารมีฤทธิ์เป็นกลาง
- ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ฝรั่ง พรุน กีวี และผลไม้ตระกูลเบอรี่ จะได้ช่วยตับกำจัดสารพิษในร่างกายอีกแรง
- วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินบี วิตามินซี และเลซิติน วิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้จะช่วยให้ตับทำงานดีขึ้น แต่ต้องระวังเรื่องวิตามินในรูปแบบอาหารเสริมต่างๆ เพราะบางครั้งการทานอาหารเสริมมากเกินไปสารเคมีที่อยู่ในอาหารเสริมเหล่านั้นอาจตกค้างอยู่ที่ตับได้