PAINELIEF COOL GEL 12X30G.

WMSDs…โรคระบาดของหนุ่มสาวออฟฟิศยุคใหม่ ป้องกันได้ง่ายกว่า การรักษาโรคเรื้อรัง

 นพ.ภรชัย อังสุโวทัย รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ และศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกระดูกและข้อ โรงพยาบาลนครธน กล่าวในงานให้ความรู้เชิงวิชาการ เรื่อง ห่างไกลกล้ามเนื้อปวดล้าจาก WMSDs เพื่อสุขภาพที่ดีของหนุ่มสาวออฟฟิศ จัดโดยบริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด ร่วมกับ โรงพยาบาลนครธน เมื่อเร็วๆ นี้ว่า โรคนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากการทำงานในท่าเดิมๆ ซ้ำไป ซ้ำมา เป็นเวลานาน ซึ่งกลุ่มที่มาพบแพทย์บ่อยที่สุดก็จะเป็นผู้หญิง เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่จะทำงานอยู่แต่ในออฟฟิศ และอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา หนำซ้ำยังนั่งทำงานด้วยท่าเดิมๆ

            “ผู้ที่เข้าข่ายเสี่ยงอีกก็เช่น คนทำงานในแผนกต้อนรับที่จะต้องยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา แผนกแคชเชียร์ที่จะต้องที่ต้องเอื้อมมือหยิบของ และกดเงินซ้ำๆ เมื่อใช้งานบริเวณกล้ามเนื้อนั้นๆ ซ้ำๆ มากๆ ก็เกิดอาการกล้ามเนื้อปวดล้าจากการทำงาน”

  นอกจากนั้น สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เช่น การทำงานในสถานที่คับแคบ หรือโต๊ะทำงานอยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสมกับร่างกาย อุณหภูมิ และแสงสว่างในห้องไม่เหมาะสม อีกอย่างคือความเครียด เพราะเมื่อเกิดอาการเครียด สารบางอย่างที่หลั่งในสมอง จะส่งสัญญาณมาที่กล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อ หดตัว เกร็งตัว เกิดอาการเจ็บขึ้นมา

เหตุที่  WMSDs ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกต่อไป นพ.ภรชัยกล่าวว่า เพราะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง  เนื่องจากผู้ที่ทำงานเกิดความรู้สึกปวดล้า ไม่สบายตัว บางครั้งต้องหยุดงานเพื่อไปรักษาตัว และที่สำคัญ ต้องใช้ค่ารักษามหาศาล จากการสำรวจในสหรัฐอเมริกาพบว่า ตัวเลขค่ารักษาอาการดังกล่าวสูงถึงปีละ 15-20 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับประเทศไทย เงินกองทุนประกันสังคมที่ใช้ไปกับการรักษาอาการนี้อยู่ในอันดับ 3-4 รองจากโรคอื่นๆ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ค่อยตรงกับข้อมูลจริงนัก เพราะคนไทยไม่ค่อยไปพบแพทย์ แต่มักจะซื้อยารักษาตัวเอง รอจนอาการหนักจริงๆ ค่อยไป   จึงไม่สามารถเก็บตัวเลขที่แท้จริงได้

ผมจึงคิดว่าเป็นเรื่องระดับประเทศชาติ แต่ประเทศไทยเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยมาก”

เมื่อ WMSDs น่าวิตกกว่าที่คิด นพ.ภรชัยจึงแนะวิธีป้องกันไว้ด้วยว่า ควรจัดการที่ 3 ปัจจัยหลักคือ 1. ด้านเครื่องมือ  ควรมีการออกแบบเครื่องมือ เครื่องจักร รวมถึงการออกแบบลักษณะ และวิธีการทำงาน ให้เกิดความเหมาะสมและสะดวกกับผู้ใช้ให้มากที่สุด เพื่อให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น เร็วขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น  2. ด้านมนุษย์  ควรปรับเปลี่ยนลักษณะท่าทางในการทำงานให้ถูกวิธี เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อเกิดอาการล้า การฝึกยืดกล้ามเนื้อ การเพิ่มพลังกล้ามเนื้อ การผ่อนคลายความเครียด และรู้จักช่วงเวลาพัก เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย และ 3.ด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ขนาดของห้องทำงาน แสงสว่างภายในห้อง ระดับความดังของเสียงบริเวณที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งอุณหภูมิห้อง ควรจัดให้เหมาะสมกับการทำงาน

ในด้านการรักษานั้น กรณีเพิ่งเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อแบบเฉียบพลัน สามารถใช้ ยาทาที่มีส่วนผสมของยาในกลุ่มต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไดโคลฟีแนค(Diclofenac) เพื่อคลายอาการปวดและอักเสบของกระดูกและกล้ามเนื้อ ซึ่งมีมากมายหลายผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด ในปัจจุบันนี้บางผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของเมนทอลที่ให้ความเย็นเพิ่มเข้าไป โดยความเย็นสามารถบรรเทาอาการปวดแบบเฉียบพลันได้ พร้อมมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ ทำให้พกพาไปใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา

“หากปวดมากสามารถใช้ยาทาควบคู่กับยาชนิดรับประทานได้ แต่ไม่ควรรับประทานยาในปริมาณมาก และติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะยามีผลระคายเคืองกระเพาะอาหาร หรือใช้ยาทาประกอบกับการรักษาโดยกายภาพบำบัด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การรักษาด้วยการปรับลักษณะท่าทางให้เหมาะสมในการทำงาน เพื่อป้องกันอาการปวด หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะถ้าละเลยหรือไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องแล้ว อาจเกิดเป็นโรคเรื้อรังตามมาได้ เช่น เส้นเอ็นยึดกระดูกอักเสบ อาการปลอกหุ้มเอ็นอักเสบ การบวมอักเสบของข้อต่อที่หัวไหล่ และพังผืดทับเส้นประสาทข้อมือ ทำให้เกิดอาการมือชา หากกายภาพบำบัดเป็นเวลานานแล้วยังไม่หาย อาจต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด”

รู้แล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดี หมั่นออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อให้บ่อยๆ หลีกเลี่ยงการทำงานท่าเดิมๆ ทั้งวัน ควรพักยืดเส้นยืดสายบ้าง...เพราะกล้ามเนื้อปวดล้าป้องกันได้ แต่การรักษานั้นต้องเร่งด่วน เพราะถ้าโรคลุกลามมากแล้ว ก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตแน่นอน



เรียบเรียงโดย: เภสัชกรหญิง พิชญา บุญญะพานิชสกุล และ Amex team